เว็บไซต์ข้อมูลด้านอาหารและสุขภาพ

สรรพคุณ ประโยชน์ และข้อควรระวังของกระเทียม

กระทียม (Garlic) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum L. เป็นพืชสมุนไพรและเป็นเครื่องเทศที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ เนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีสรรพคุณทางยาสำหรับสารอาหารต่างๆที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส ธาตุเหล็ก ซีลีเนียม แมกนีเซียม วิตามินซี วิตามินบี สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ สารไดซัลไฟด์ สารอัลลิซิน สารอัลลิอิน สารเซลิเนียม และกำมะถัน ซึ่งสารอาหารเหล่านีล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น ที่ช่วยป้องและรักษาอาการของโรคต่างๆได้ดี อาทิเช่น โรคไข้หวัด โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเกี่ยวกับผิวหนัง เป็นต้น  จึงไม่แปลกเลยที่กระเทียมจะเป็นที่นิยมในการนำมาประกอบอาหารในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย สรรพคุณของกระทียม 1.การรับประทานกระเทียมสด สามารถช่วยลดระดับไขมัน และระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เนื่องจากสาร อัลลิซินในกระเทียมจะออกฤทธิ์ช่วยลดระดับไขมันชนิดที่ไม่ดี คือ LDL และช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี คือ HDL อันเป็นไขมันที่ทำหน้าที่จับคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากเซลล์ต่างๆของร่างกายไปกำจัดทิ้งที่ตับหรือขับออกจากร่างกายในรูปของเสีย ช่วยให้ไม่เกิดการสะสมของคอเลสเตอรอลตามผนังหลอดเลือดอันเป็นต้นเหตุของการเกิดไขมันในเลือดสูง 2.ช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง สำหรับผู้ที่มีอาการจุกเสียดแน่นท้อง อาหารไม่ย่อยหลังการรับประทานอาหารนั้น ให้นำกระเทียม5-7กลีบบดให้ละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชู2ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย นำมากรองเอาแต่น้ำ ดื่มหลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น จะช่วยให้อาการเหล่านั้นทุเลาลง เนื่องจากในกระเทียมมีสาร Gastroenteric allechalcone ที่มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการบีบตัวของลำไส้ทำให้เกิดการขับลมออกมา และสารชนิดนี้ยังเป็นตัวช่วยลำเลียงอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กให้เป็นไปด้วยดี จึงสามรถลดการจุกเสียดแน่นท้องหลังการรับประทานอาหารได้ดี 3. ป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้และหวัด เพราะสารอันลิซินในกระทียมมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการติดเชื้อ, ช่วยให้ร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าทีเป็นเกราะป้องกันสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของเรามีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้และโรคหวัดได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นหวัดอยู่แล้ว การรับประทานกระเทียมสดจะช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น เพราะในกระเทียมมีวิตามินซีและสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ที่ออกฤทธิ์ช่วยต้านหวัดและรักษาอาหารหวัดอีกเช่นกัน 4.ชะลอความแก่ การรับประทานกระเทียมเป็นประจำ ถือเป็นตัวช่วยวิธีหนึ่งที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ไม่อยากแก่ก่อนวัยอันควรได้ เพราะในกระเทียมมีสารซีลิเนียมที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแด้นซ์ หรือเรียกง่ายๆว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารนี้จะช่วยป้องกันเนื้อเยื่อในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย และช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อต่างๆจึงช่วยลดการเกิดริ้วรอยและผิวหนังเหี่ยวย่นได้เป็นอย่างดี 5.ช่วยลดความดันโลหิต เพราะการรับประทานกระเทียมจะมีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณของสารไนตริกออกไซด์ในร่างกาย ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์ช่วยกระตุ้นให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว การไหลเวียนของเลือดจึงดีขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงตามลำดับ…

กระทียม (Garlic) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum L. เป็นพืชสมุนไพรและเป็นเครื่องเทศที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ เนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีสรรพคุณทางยาสำหรับสารอาหารต่างๆที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส ธาตุเหล็ก ซีลีเนียม แมกนีเซียม วิตามินซี วิตามินบี สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ สารไดซัลไฟด์ สารอัลลิซิน สารอัลลิอิน สารเซลิเนียม และกำมะถัน ซึ่งสารอาหารเหล่านีล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น ที่ช่วยป้องและรักษาอาการของโรคต่างๆได้ดี อาทิเช่น โรคไข้หวัด โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเกี่ยวกับผิวหนัง เป็นต้น  จึงไม่แปลกเลยที่กระเทียมจะเป็นที่นิยมในการนำมาประกอบอาหารในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย

สรรพคุณกระเทียม

สรรพคุณของกระทียม

1.การรับประทานกระเทียมสด สามารถช่วยลดระดับไขมัน และระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เนื่องจากสาร อัลลิซินในกระเทียมจะออกฤทธิ์ช่วยลดระดับไขมันชนิดที่ไม่ดี คือ LDL และช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี คือ HDL อันเป็นไขมันที่ทำหน้าที่จับคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากเซลล์ต่างๆของร่างกายไปกำจัดทิ้งที่ตับหรือขับออกจากร่างกายในรูปของเสีย ช่วยให้ไม่เกิดการสะสมของคอเลสเตอรอลตามผนังหลอดเลือดอันเป็นต้นเหตุของการเกิดไขมันในเลือดสูง

2.ช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง สำหรับผู้ที่มีอาการจุกเสียดแน่นท้อง อาหารไม่ย่อยหลังการรับประทานอาหารนั้น ให้นำกระเทียม5-7กลีบบดให้ละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชู2ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย นำมากรองเอาแต่น้ำ ดื่มหลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น จะช่วยให้อาการเหล่านั้นทุเลาลง เนื่องจากในกระเทียมมีสาร Gastroenteric allechalcone ที่มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการบีบตัวของลำไส้ทำให้เกิดการขับลมออกมา และสารชนิดนี้ยังเป็นตัวช่วยลำเลียงอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กให้เป็นไปด้วยดี จึงสามรถลดการจุกเสียดแน่นท้องหลังการรับประทานอาหารได้ดี

3. ป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้และหวัด เพราะสารอันลิซินในกระทียมมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการติดเชื้อ, ช่วยให้ร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าทีเป็นเกราะป้องกันสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของเรามีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้และโรคหวัดได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นหวัดอยู่แล้ว การรับประทานกระเทียมสดจะช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น เพราะในกระเทียมมีวิตามินซีและสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ที่ออกฤทธิ์ช่วยต้านหวัดและรักษาอาหารหวัดอีกเช่นกัน

4.ชะลอความแก่ การรับประทานกระเทียมเป็นประจำ ถือเป็นตัวช่วยวิธีหนึ่งที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ไม่อยากแก่ก่อนวัยอันควรได้ เพราะในกระเทียมมีสารซีลิเนียมที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแด้นซ์ หรือเรียกง่ายๆว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารนี้จะช่วยป้องกันเนื้อเยื่อในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย และช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อต่างๆจึงช่วยลดการเกิดริ้วรอยและผิวหนังเหี่ยวย่นได้เป็นอย่างดี

5.ช่วยลดความดันโลหิต เพราะการรับประทานกระเทียมจะมีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณของสารไนตริกออกไซด์ในร่างกาย ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์ช่วยกระตุ้นให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว การไหลเวียนของเลือดจึงดีขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงตามลำดับ

6.ป้องกันและบรรเทาอาการโรคข้อเข่าเสื่อม โรคข้อเข่าเสื่อมมักมีสาเหตุมาจากการนั่ง การยืนเป็นเวลานานๆหรือแม้แต่การใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณข้อเข่า การรับประทานกระเทียมเป็นประจำจะช่วยให้อาการเหล่านั้นทุเลาลง เพราะในกระเทียมมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า กำมะถัน ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกระดูกและข้อต่อ ให้มีการเคลื่อนไหวที่ดี ช่วยลดการปวดเกร็งและลดอาการปวดข้อได้อย่างมีประสิทธิผล จึงเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีอัตราความเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม

7.กระเทียมมีสารอัลลิอินที่มีคุณสมบัติคล้ายยาปฏิชีวนะช่วยฆ่าเชื้อราได้ดี ไม่ว่าจะเป็นกลาก เกลื้อน ชันนะตุ โรคเท้าเปื่อย พิษผื่นคัน เพียงนำกระเทียมมาทุบให้แตกหรือฝานเป็นแผ่นบางๆนำไปทาตรงบริเวณที่เป็นวันละ2-3ครั้ง อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ จะเห็นได้ว่าอาการเหล่านั้นค่อยๆทุเลาลงจนหายเป็นปกติ นอกจากนั้นยังมี สารอัลลิซินที่เป็นสารออกฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อและยับยั้งการเกิดเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของการเกิดโรคต่างๆได้อีกเช่นกัน โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียกลุ่มที่ดื้อยาเพนนิซิลิน

ประโยชน์กระเทียม

ประโยชน์ของกระเทียม

1.นำมาปรุงหรือนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ผัด ต้ม ตุ๋น หรือนึ่ง เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอมและรสชาติทีอร่อยขึ้น

2.นำมาทานเป็นผักเคียงอาหาร เช่น ทานกับข้าวขาหมู ทานกับกุ้งแช่น้ำปลา เป็นต้น

3.ทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ เช่น ทำแคปซูลเพื่อเป็นอาหารเสริมต่าง ๆ, ทำเป็นกระเทียมสกัดผง, ทำสารสกัดจากน้ำมันกระเทียม และทำกระเทียมดอง เป็นต้น

โทษของกระเทียม

1.หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานกระเทียมในปริมาณที่มากจนเกินไป

2.ผู้ที่มีอาการของเลือดหยุดไหลช้า ไม่ควรรับประทานกระเทียมเกินความจำเป็นเพราะสารอัลลิซินในกระเทียมมีฤทธิ์ในการสลายลิ่มเลือดและ ลดการแข็งตัวของเลือด

3.ไม่ควรรับประทานกระเทียมขณะท้องว่าง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้

4.สำหรับผู้ที่ต้องสัมผัสกับกระเทียมเป็นประจำอาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรืออักเสบบริเวณผิวหนังได้ ควรสวมถุงมือขณะใช้กระทียม

5.เนื่องจากการรับประทานกระเทียมอาจทำให้ระดับความดันโลหิตต่ำลง ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำจึงไม่ควรบริโภคมากเกินไป

ประโยชน์แล้ข้อควรระวังของกระเทียม

ข้อเสนอะแนะเกี่ยวกับการใช้กระเทียม

1.ควรรับประทานกระเทียมสด เพราะสารอาหารในกระเทียมสดจะมีมากกว่ากระเทียมที่ผ่านการปรุงอาหารจากความร้อนมาแล้ว

2.กระเทียมที่นินมนำมารับประทานสดๆ คือกระเทียมโทน

3.การรับประทานกระเทียมเพียงอย่างเดียวไม่ถือว่าเป็นยารักษาโรคใดโรคหนึ่งได้ดีที่สุด เราควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง5หมู่ หรือรับประทานอาหารอย่างอื่นร่วมกับการรักษาโรคนั้นๆด้วย

4.ก่อนการผ่าตัดไม่ควรรับประทานกระเทียม เพราะจะทำให้เลือดออกง่ายและหยุดไหลช้ากว่าปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก: medthai, wikipedia, sanook, honestdoc

About Our Content Creators

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Integer semper commodo tristique. Donec in dolor a odio semper convallis et ac ex. Aenean at elit non arcu tincidunt laoreet.

We may earn a commission if you click on the links within this article. Learn more.

More…!